แกงกะทิ เป็นอาหารไทยประเภทแกงที่มีส่วนผสมหลักเป็นกะทิ นิยมใส่เนื้อสัตว์ ผัก หรือปลา แกงกะทิมีรสชาติเข้มข้น หอมมัน นิยมรับประทานกับข้าวสวยร้อน ๆ หรือเส้นขนมจีน แกงกะทิมีหลายชนิด เช่น แกงเขียวหวาน แกงเผ็ด แกงพะแนง แกงไตปลา แกงมัสมั่น เป็นต้น
ประวัติ
แกงกะทิมีต้นกำเนิดจากประเทศอินเดีย เข้ามาสู่ประเทศไทยพร้อมกับวัฒนธรรมการกินแบบอินเดีย แกงกะทิในสมัยก่อนมีรสชาติเผ็ดร้อน เนื่องจากใช้พริกแกงที่มีส่วนผสมของพริกแกงเผ็ดเป็นหลัก ต่อมาได้มีการพัฒนารสชาติของแกงกะทิให้มีความหลากหลายมากขึ้น โดยเพิ่มส่วนผสมอื่น ๆ เช่น มะเขือเทศ มะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ เป็นต้น
ส่วนผสม
ส่วนผสมหลักของแกงกะทิ ได้แก่
- กะทิ
- เนื้อสัตว์ ผัก หรือปลา
- พริกแกง
- เครื่องปรุงรส เช่น น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ เกลือ เป็นต้น
วิธีทำ
วิธีทำแกงกะทิโดยทั่วไป มีดังนี้
- ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชพอร้อน ใส่พริกแกงลงไปผัดจนหอม
- ใส่เนื้อสัตว์ ผัก หรือปลาลงไปผัดจนสุก
- ใส่กะทิลงไป คนให้เข้ากัน
- ปรุงรสด้วยเครื่องปรุงรส ชิมรสตามชอบ
- เคี่ยวจนแกงสุก
เคล็ดลับ
- เลือกเนื้อสัตว์ที่มีมันแทรกเล็กน้อย เพื่อให้แกงมีรสชาติกลมกล่อม
- ไม่ควรใส่น้ำเปล่าลงในแกง เพราะจะทำให้แกงจืด
- หากต้องการให้แกงมีสีสันสวยงาม ควรใส่ผักหรือสมุนไพรลงไปด้วย เช่น มะเขือเปราะ มะเขือพวง ใบมะกรูด ใบโหระพา เป็นต้น
- สามารถใช้พริกแกงสำเร็จรูปแทนพริกแกงโฮมเมดได้
- ควรระวังไม่ให้พริกแกงไหม้ เพราะจะทำให้แกงมีกลิ่นเหม็น
- ควรปิดไฟทันทีเมื่อผักหรือสมุนไพรสุก เพราะหากสุกมากเกินไป จะมีรสขม
ประโยชน์
แกงกะทิเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เนื่องจากมีส่วนผสมของกะทิ ซึ่งเป็นแหล่งของไขมันดี โปรตีน วิตามิน และเกลือแร่ต่าง ๆ แกงกะทิจึงมีประโยชน์ต่อร่างกายดังนี้
- บำรุงผิวพรรณให้เนียนนุ่ม
- บำรุงสมองและประสาท
- ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี
- ช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงาน
อย่างไรก็ตาม แกงกะทิมีปริมาณไขมันสูง จึงควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่ควรรับประทานมากเกินไป อาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นและเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนได้
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิง : food.trueid
อ่านข่าวสารอื่นๆได้ที่ >> ข่าวสารที่น่าสนใจ
ติดต่อเรา >> คลิ๊ก!